เรื่องนี้มีที่มาจากหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ที่เรียบเรียงโดย หลวงตามหาบัว
(สามารถอ่านได้ใน link ต่อไปนี้ http://www.luangta.com/thamma/thamma_book_detail.php?cgiBookID=4 )
ซึ่งในหนังสือดังกล่าวนั้น มีหลายตอนที่มีเนื้อหาใจความว่า หลวงปู่มั่นสามารถเห็น
– พระอรหันต์ที่นิพพานแล้วมาแสดงธรรมให้ฟังบ้าง
– พระอรหันต์ที่นิพพานแล้วมาแสดงท่าทางขณะที่นิพพานให้ดูบ้าง
– หรือแม้แต่เห็นกระทั่งพระพุทธเจ้าและอรหันตสาวกเสด็จมาแสดงธรรมให้ฟังบ้าง
เนื้อหาดังกล่าวจึงเป็นประเด็นให้ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งก็ได้มีปราชญ์ท่านหนึ่งคือ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ได้ เขียนแสดงความเห็นในหนังสือพิมพ์ สยามรัฐ ฉบับลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๑๕ ดังรายละเอียดตอนหนึ่งดังนี้
เมื่อพระอาจารย์มั่นอยู่ในถ้ำ มีพระอรหันต์หลายองค์มาสนทนาธรรมกับท่าน นอกจากสนทนาธรรมแล้ว พระอรหันต์ยังแสดงท่านิพพานของแต่ละองค์ให้พระอาจารย์มั่นดูอีกด้วย เมื่ออ่านถึงตอนนี้แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจนั้นเกินไปกว่าความกังวล แต่เป็นความเดือดร้อนทีเดียว พระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้ว มาสนทนาธรรมกับคนที่ยังไม่นิพพาน แล้วแสดงท่านิพพานให้ดูนั้น ไม่มีในพระบาลีเป็นแน่นอนครับ
เมื่ออุปสีวมานพมาทูลถามปัญหาพระพุทธเจ้าเรื่องพระอรหันต์นั้น อุปสีวมานพได้ทูลถามว่าที่ว่าพระอรหันต์ดับไปแล้วนั้น ท่านดับโดยสิ้นเชิง หรือว่าเป็นแต่ไม่มีตัวหรือจักเป็นผู้ตั้งอยู่ยั่งยืนหาอันตรายมิได้
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ประมาณแห่งเบญจขันธ์ของผู้ที่ดับขันธปรินิพพานแล้ว มิได้มีกิเลสซึ่งเป็นเหตุกล่าวผู้นั้นว่าไปเกิดเป็นอะไร ของผู้นั้นก็มิได้มี เมื่อธรรมทั้งหลายอันผู้นั้นขจัดได้หมดไปแล้ว ก็ตัดทางแห่งถ้อยคำที่จะพูดถึงผู้นั้นว่าเป็นอะไรเสียทั้งหมด หมายความว่า พระอรหันต์นั้นดับถึงขนาดที่ไม่มีเรื่องที่จะพูดถึงท่านอีกต่อไป
(สามารถอ่านฉบับเต็มได้ใน ภาคผนวกท้ายเล่มของ หนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ที่เรียบเรียงโดย หลวงตามหาบัว)
หลังจากนั้น เพียง 8 วัน คุณ จิตติ นพวงศ์ ก็ได้เขียนตอบวิจารณ์ความเห็นของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ในหนังสือพิมพ์ “ศรีสัปดาห์” ฉบับที่ ๑๐๗๕ วันศุกร์ที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๑๕ ดังรายละเอียดตอนหนึ่งดังนี้
ก็ถูกต้อง ที่ไม่มีปรากฏในพระบาลีว่าพระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้วจะมาสนทนาธรรมกับคนที่ยังไม่นิพพาน แต่ก็ไม่มีปรากฏในพระบาลีเลยว่า พระอรหันต์ที่นิพพานแล้วจะมาทำเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาด ในกรณีนี้ เหตุผลต้องอยู่ที่ตรงนี้ อะไรที่ไม่ถูกนำมาเอ่ยถึง ไม่จำเป็นต้องไม่มีอยู่ ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาที่แท้จริงทั้งหลายท่านทราบ ในขณะที่ปราชญ์จอมปลอมไม่อาจรู้ได้ ว่านอกจากที่ปรากฏในพระบาลียังมีอะไร ๆ ที่อัศจรรย์วิจิตรพิสดารอีกมากนัก ผู้ที่เกิดมาไม่เคยปฏิบัติธรรม หมกมุ่นวุ่นวายอยู่แต่กับความสกปรกโสโครกทุกลมหายใจเข้าออก จะรู้จักสิ่งบริสุทธิ์สูงส่งหาใดเสมอเหมือนมิได้ได้อย่างไร
ระหว่างพระกับมาร ใครหลงเชื่อมาร มารก็พาไปนรกเท่านั้น ท่านอาจารย์มั่นก็ตาม ท่านอาจารย์พระมหาบัวก็ตาม ท่านเป็นพระ หรือถ้าไม่อยากจะเชื่อใครทั้งนั้นในเรื่องนี้ อยากจะเชื่อตัวเองก็ต้องทำตัวเองให้เหมือนท่านอาจารย์ท่านเสียก่อน ให้เห็นเท็จและจริงด้วยตัวเองเสียก่อนนั่นแหละ แล้วจึงควรอ้าปากวิจารณ์เรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นก็จะไม่พ้นต้องเป็นคนโง่ตัวใหญ่ ที่คิดจะยกตัวให้สูงขึ้นด้วยการพยายามปีนป่ายเหยียบย่ำกระทืบยอดเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุ ท่ามกลางสายตาของพุทธศาสนิกชน จะพ้นสภาพย่อยยับไปไม่ได้เลย
การเข้าใจความพระบาลีให้ถูกต้องนั้น อย่าคิดว่าง่าย ต่อให้ได้ชื่อว่า เป็นปราชญ์ทางโลก อ่านหนังสือหมดโลกก็ตาม ถ้าพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์นิพพานแล้วจะต้องดับสิ้น ถึงขนาดที่ไม่มีเรื่องจะพูดถึงท่านได้อีกต่อไปจริง แล้วทุกวันนี้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีอยู่อย่างไรในเมื่อท่านนิพพานไปเสียแล้ว หรือทุกวันนี้ไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เสียแล้ว ที่ให้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งสูงสุดกันนั้น หมายถึงให้ถือลม ถือแล้งหรอกหรือ ไม่มีความจริงกระนั้นหรือ
ปฏิเสธเสียก่อนว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์สรณะสูงสุดของเราไม่มีในปัจจุบัน ปฏิเสธเสียก่อนว่าพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพไม่มีในปัจจุบันแล้วนั่นแหละจึงปฏิเสธเรื่องราวระหว่างพระอรหันต์ที่ท่านนิพพานแล้วกับท่านพระอาจารย์มั่นได้
(สามารถอ่านฉบับเต็มได้ใน ภาคผนวกท้ายเล่มของ หนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ที่เรียบเรียงโดย หลวงตามหาบัว)
ส่วนคำตอบของหลวงตามหาบัว นั้นผู้เขียนไม่ขอวิจารณ์ แต่จะยกหลักฐานจากพระพุทธพจน์และคำสอนของครูบาอาจารย์พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่างๆ มาแสดง ให้เห็นว่า ข้อเท็จจริงนั้นเป็นเช่นไร ในประเด็นเรื่อง “การที่มีผู้ใดอ้างว่าสามารถติดต่อกับพระอรหันต์ที่ดับขันธปรินิพพานไปแล้ว” (การดับขันธ์ปรินิพพาน เรียกอีกอย่างว่า การเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆว่า ตาย นั่นเอง)
ทั้งนี้ผู้เขียนเห็นถึงประโยชน์ถึงการเขียนเรื่องนี้ เพื่อ ป้องกันความเชื่อหลงงมงาย ใน สิ่งที่ครูบาอาจารย์ เชื่ออย่างไร้เหตุผล จนเกิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ และส่งผลร้ายต่อวงการพระพุทธศาสนาโดยรวม
โดยสรุปเป็นประเด็นต่างๆดังนี้
——————————————————————————————————
1. ในพระไตรปิฎกไม่ปรากฎว่า เรื่องราวที่ว่า พระอรหันต์ที่ดับขันธปรินิพพานไปแล้ว จะมาติดต่อกับ ผู้ที่ยังดำรงขันธ์อยู่ จริงหรือ?
คำตอบคือ จริงที่ว่า เรื่องราวเช่นนี้ ไม่มีในพระไตรปิฎก
แต่เราไม่สามารถนำข้อความที่ว่า “ไม่มีในพระไตรปิฎก” มาใช้สรุปประเด็นเรื่อง “การที่มีผู้ใดสามารถติดต่อกับพระอรหันต์ที่ดับขันธ์นิพพานไปแล้ว” ได้ว่า เป็นความจริงหรือไม่จริง
เพราะ สิ่งที่ไม่ได้ระบุไว้ในพระไตรปิฎก อาจจะเป็นความจริงหรือไม่เป็นความจริงก็ได้
——————————————————————————————————
2. แล้วการที่ผู้ยังดำรงขันธ์อยู่หรือยังมีชีวิตอยู่ ยังสามารถติดต่อกับ พระอรหันต์ที่ดับขันธปรินิพพานไปแล้ว เป็นความจริงหรือไม่?
คำตอบคือ ไม่จริง !!!!!!!!!!!!!
ที่ไม่จริง ไม่ใช่เพราะว่า ไม่มีในพระไตรปิฎก แต่ เพราะว่าเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง
ดังนั้นการที่ คุณ จิตติ กล่าวว่า “แต่ก็ไม่มีปรากฏในพระบาลีเลยว่า พระอรหันต์ที่นิพพานแล้วจะมาทำเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาด ” จึงเป็นการกล่าวแบบหุนหันพลันแล่นรีบร้อนอยากจะตอบโต้ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช โดยวู่วาม และงมงาย โดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้เช่นไรดังบันทึกในพระไตรปิฎก
สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสสอนไว้หลายครั้งดังบันทึกในพระไตรปิฎก ว่า เป็นไปไม่ได้ที่พระอรหันต์ซึ่งนิพพานแล้วจะมาติดต่อกับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ (การที่ จิตติ นพวงศ์ บอกว่า “แต่ก็ไม่มีปรากฏในพระบาลีเลยว่า พระอรหันต์ที่นิพพานแล้วจะมาทำเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาด ” จึงเป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้อง เพราะพระพุทธเจ้าท่านระบุไว้ตรงๆว่าเป็นไปไม่ได้)
ซึ่งการที่เชื่อว่า ผู้ยังดำรงขันธ์อยู่หรือยังมีชีวิตอยู่ ยังสามารถติดต่อกับ พระอรหันต์ที่ดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ได้จริง นั้นเป็น มิจฉาทิฏฐิประเภทหนึ่งที่ มีชื่อเรียกว่า สัสสตทิฏฐิ (อ่านว่า สัด-สะ-ตะ-ทิด-ถิ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.84000.org/tipitaka/dic/v_line.php?A=3492&Z=3492 )
หลักฐานเหล่านี้มีบันทึกในพระไตรปิฎก หลายแห่ง ดังเช่น
1) เรื่อง อุปสีวมาณพ (อุ-ปะ-สี-วะ-มา-นบ) ดังที่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ได้อ้างอิงถึง ใน อุปสีวปัญหาที่ ๖
(อ่านเนื้อหาทั้งหมดได้ที่ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=25&A=11154&Z=11193 )
มีเนื้อหาโดยสรุปคือ พระพุทธเจ้าสอนอุปสีวมาณพ ให้มีสติแล้วเจริญอรูปฌานขั้นอากิญจัญญายตนะ เพื่อละความอยากในกาม (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) แล้วทำวิปัสสนาโดยการดูให้เห็นตัณหาที่กำลังสิ้นไป แม้ตายไปแล้ว ยังไม่สิ้นกิเลส ก็สามารถไปปฏิบัติต่อใน ขณะที่เป็นอรูปพรหมชั้น อากิญจัญญายตนพรหม จนถึงขั้น “เป็นผู้ไม่หวั่นไหวในธรรม” จนพ้นจาก “นามกาย” (พ้นจากนามขันธ์ในอรูปฌาน บรรลุอรหันตผลสิ้นกิเลสในอรูปฌาน) เมื่อหมดอายุขัยในอรูปพรหมชั้นนั้นแล้ว ย่อมถึงการตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่ถึงการนับ เปรียบเหมือนเปลวไฟอันถูกกำลังลมพัดไป แล้ว ย่อมถึงการตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่ถึงการนับ เมื่อธรรม (มีขันธ์เป็นต้น) ทั้งปวง ท่านเพิกถอนขึ้นได้แล้ว แม้ทางแห่งถ้อยคำทั้งหมด
ก็เป็นอันท่านเพิกถอนขึ้นได้แล้ว ฯ (คือหมดสมมุติที่จะให้พูดอีก)
ดังนั้นการที่ คุณ จิตติ นพวงศ์เขียนว่า
“พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์นิพพานแล้วจะต้องดับสิ้น ถึงขนาดที่ไม่มีเรื่องจะพูดถึงท่านได้อีกต่อไปจริง แล้วทุกวันนี้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีอยู่อย่างไรในเมื่อท่านนิพพานไปเสียแล้ว”
แม้จะเป็นการแสดงเห็นที่คัดค้านเนื้อความที่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ อ้างอิงพระไตรปิฎก แต่หารู้ไม่ว่า ตัว คุณจิตติ เองก็ได้ค้านสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ เพราะความเข้าใจผิด ในเนื้อหาที่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ อ้างถึง
ทั้งนี้ เรื่องการมีอยู่ของพระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์ ที่คุณจิตติ อ้างถึงนั้น เป็นคนละประเด็นกับ เรื่องวิมุตติ อันเป็นสิ่งที่พ้นจากสมมุติที่จะให้พูดอีก ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนอุปสีวมาณพว่า “แม้ทางแห่งถ้อยคำทั้งหมด ก็เป็นอันท่านเพิกถอนขึ้นได้แล้ว”
นั่นคือ พระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์ นั้นมีจริง ทั้งนี้พระพุทธนั้น ไม่ได้มีอยู่ในแง่ของความเป็นตัวตนของเจ้าชายสิทธัตถะ หรือ สมณโคดม แต่มีอยู่ในแง่ของสภาวะแห่งความสิ้นกิเลสและความบริสุทธิของจิต ซึ่งผู้เขียนก็เชื่อว่าในปัจจุบันนี้ สภาพจิตที่บริสุทธิ์พ้นจากสมมุตินั้นก็ยังมีอยู่ในโลก ซึ่งทางดำเนินให้ถึงภาวะที่จิตบริสุทธิ์จากกิเลสก็ยังมีอยู่คือหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ดีแล้ว ส่วนพระสงฆ์คือผู้ที่สามารถปฏิบัติตามธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้จนจิตบริสุทธิ์เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า ก็ยังมีอยู่ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่า ตราบใดที่ภิกษุยังปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้อง โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์
ส่วนพระอรหันต์หรือผู้ที่สิ้นกิเลส และดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ก็ไม่มีขันธ์ที่จะติดต่อพูดคุยอันเป็นสมมุติในโลกสมมุติอีกต่อไป จึงไม่สามารถที่จะมาติดต่อกับผู้ที่ยังดำรงขันธ์ได้อีกแล้ว
2) หลักฐานใน อัคคิวัจฉโคตตสูตร
( http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=13&A=4316&Z=4440 )
พระพุทธเจ้า เปรียบเทียบพระอรหันต์ดับขันธ์เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานไปแล้ว
อุปมาเหมือนไฟที่หมดเชื้อเพลิงและดับไปแล้ว ไม่ควรตอบว่าไฟไปทางทิศเหนือ ทิศใต้หรือทิศใดๆ เพราะไฟที่ดับก็ดับไปแล้ว ไม่ใช่ไฟอีกต่อไป
บุคคลเมื่อบัญญัติว่าเป็นสัตว์ พึงบัญญัติเพราะ
รูป/เวทนา/สัญญา/สังขาร/วิญญาณ ใด รูป/เวทนา/สัญญา/สังขาร/วิญญาณ นั้นตถาคตละได้แล้ว มีมูลรากอันขาดแล้ว ทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา ตถาคตพ้นจากการนับว่า รูป/เวทนา/สัญญา/สังขาร/วิญญาณ มีคุณอันลึก อันใครๆ ประมาณไม่ได้ หยั่งถึงได้โดยยาก. เปรียบเหมือนมหาสมุทรฉะนั้น ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าไม่เกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิดก็มี ไม่เกิดก็มี ไม่ควรจะกล่าวว่า เกิดก็หามิได้ ไม่เกิดก็หามิได้.
3) หลักฐานใน พรหมชาลสูตร
( http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=9&A=0&Z=1071&pagebreak=0 )
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนในพรหมชาลสูตร อย่าว่าแต่ สนทนาด้วยเลย แค่เห็น ยังไม่สามารถเห็นได้เลย พระพุทธเจ้าสอนไว้ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ ขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลา ที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.
4) หลักฐานจาก ทัพพสูตรที่ 1 และ ทัพพสูตรที่ 2
( http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=25&A=4353&Z=4372&pagebreak=0
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=25&A=4373&Z=4404&pagebreak=0 )
ในทัพพสูตรนั้นมีรายละเอียดกล่าวถึงเหตุการณ์ที่พระทัพพมัลลบุตรดับขันธ์เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน (หรือดับขันธ์ปรินิพพาน) เมื่อพระทัพพมัลลบุตรนิพพานแล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงเปล่งอุทานว่า
รูปกายได้สลายแล้ว สัญญาดับแล้ว เวทนาทั้งปวงเป็นธรรมชาติเย็นแล้ว สังขารทั้งหลายสงบแล้ว วิญญาณถึงความตั้งอยู่ไม่ได้ ฯ
คติของพระขีณาสพทั้งหลาย ผู้หลุดพ้นแล้วโดยชอบ ข้ามเครื่องผูกคือกามและโอฆะได้แล้ว ถึงแล้วซึ่งความสุขอันหา ความหวั่นไหวมิได้ ไม่มีเพื่อจะบัญญัติ เหมือนคติแห่งไฟลุกโพลงอยู่ที่ภาชนะสัมฤทธิ์เป็นต้น อันนายช่างเหล็กตีด้วยค้อนเหล็ก ดับสนิท ย่อมรู้ไม่ได้ ฉะนั้น ฯ
นั่นคือพระอรหันต์ที่ดับขันธ์เข้าสู่นิพพานชนิดอนุปาทิเสสนิพพานแล้วนั้น (เรียกง่ายๆว่าตาย) ขันธ์ทั้ง 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดับสนิท และไม่มีขันธ์ 5 ใหม่ขึ้นมาอีกเพราะหมดสิ้นเชื้อแห่งอวิชชาอันที่จะก่อให้เกิดการปรุงแต่งให้มีขันธ์ขึ้นมาเป็นทุกข์อีก
5) หลักฐานจากเรื่องสิกขาบทเล็กน้อยและเหตุการณ์ในตอนปฐมสังคายนา
ในพระวินัยปิฎก เรื่องสิกขาบทเล็กน้อย บันทึกไว้ถึงตอน เมื่อพระพุทธเจ้าจวนจะปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระอานนท์ไว้ว่า “ดูกรอานนท์ เมื่อเราล่วงไป สงฆ์หวังอยู่จะพึงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียก็ได้ ”
( http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=7&A=7440&Z=7459&pagebreak=0 )
เมื่อถึงเวลาสังคายนา ที่พระเถระในประชุมสงฆ์ได้มีความเห็นต่างกันไปถึงคำว่า “สิกขาบทเล็กน้อย” แต่ไม่มีองค์ไหนเห็นว่า สิกขาบทขั้นปาราชิก เป็นสิกขาบทเล็กน้อย เมื่อไม่รู้ว่าแค่ไหนถึงเรียกว่า “สิกขาบทเล็กน้อย” ที่ประชุมสงฆ์ในการทำสังคายนาครั้งแรกจึงลงมติกันว่าจะไม่ถอนบัญญัติที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แม้แต่ข้อเดียว ดังนี้
สงฆ์
-ไม่พึงบัญญัติสิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติ
-ไม่พึงถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว
– พึงสมาทานประพฤติ ในสิกขาบททั้งหลายตามที่ทรงบัญญัติแล้ว
นี้เป็นญัตติ
( http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=7&A=7460&Z=7491&pagebreak=0 )
และ พระเถระทั้งหลายจึงตำหนิพระอานนท์ว่าทำไม่ดี (ทุกฺกฏ) โทษฐานที่ไม่ถามพระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพาน (ไม่ได้ปรับอาบัติทุกกฏดังที่พระไตรปิฎกฉบับหลวงแปลผิด) ดังหลักฐานในพระบาลีต่อไปนี้
อถโข เถรา ภิกฺขู อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจุํ
อิทนฺเต อาวุโส อานนฺท ทุกฺกฏํ ยํ ตฺวํ ภควนฺตํ น ปุจฺฉิ
กตมานิ ปน ภนฺเต ขุทฺทานุขุทฺทกานิ สิกฺขาปทานีติ เทเสหิ
ตํ ทุกฺกฏนฺติ
( http://www.84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=7&item=622&items=1 )
ดังนั้นจึงเป็นข้อคิดว่า
เมื่อพระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็ไม่มีใครที่สามารถไปหาท่านเพื่อสนทนาธรรม,ถามปัญหา หรือถวายข้าวทิพย์กับท่านได้อีก รวมถึงจะไม่มีพระพุทธเจ้าที่เป็นตัวตนจริงๆแบบครั้งยังทรงพระชนม์แวะมาเยี่ยมเยียนตอบปัญหาที่สงสัยของใครก็ตาม แม้แต่พระอรหันต์ที่ทรงอภิญญา,ปฏิสัมภิทา 500 องค์ที่ทำสังคายนาครั้งแรกและทันเห็นพระพุทธเจ้าตอนยังทรงพระชนม์ชีพก็ตาม
ซึ่งการที่ไม่ศึกษาในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในดี เอาแต่เชื่อผลของการปฏิบัติโดยไม่ศึกษาว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้อย่างไร เชื่อในความเห็นของตนเอง เช่น เชื่อว่า มีพระพุทธเจ้าเป็นตัวตน (อัตตา) ในแดนนิพพาน หรือเชื่อว่า มีพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์จริงๆมาสนทนากับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ นับว่าเป็นความเข้าใจที่ผิด จากหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ แต่เป็นความคิดของพราหมณ์ฮินดูที่เชื่อในเรื่อง ปรามาตมัน และเมื่อยังมีคนที่เชื่อผิดๆแบบนี้ จึงทำให้มีบางลัทธินำจุดนี้มาใช้เป็นเครื่องมือหลอกเอาเงินผู้คนได้มากมายโดยอ้างว่าสามารถนำข้าวทิพย์ไปถวายพระพุทธเจ้าในแดนนิพพาน เป็นต้น
และต่อไปในอนาคต ถ้าไม่รักษาความถูกต้องของคำสอนของพระพุทธเจ้าดังบันทึกในพระไตรปิฎก ต่อไปก็คงจะมีลัทธิ บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยไม่สนตำราเอาแต่อ้างผลการปฏิบัติที่ขัดแย้งกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ต่อไป ศาสนาพุทธก็จะถูกลัทธิเหล่านี้กลืนไป และไม่เหลือหลักธรรมแท้ๆ ไว้ให้รุ่นลูกหลานได้ศึกษาเพื่อความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง!!!!!
พระพุทธเจ้าตรัสสอนใน อปริหานิยธรรม ๗ ประการ (ธรรมที่ทำแล้วไม่เสื่อม มีแต่เจริญอย่างเดียว) ตอนหนึ่งว่า
ไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติ ไม่ล้มล้างสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลายตามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้
http://www.84000.org/tipitaka/read/?23/21/21
http://www.84000.org/tipitaka/read/?10/70/90
http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=290
การบัญญัติคำสอนที่ว่า ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่สามารถติดต่อพูดคุยกับพระอรหันต์เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้วจริงๆ จึงเป็นการบัญญัติ สิ่งที่พระพุทธเจ้า ไม่ทรงบัญญัติ เป็นการล้มล้างสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้
นอกจากนี้ชาวพุทธยังควรปฏิบัติตามหลัก มหาปเทส(มหาประเทศ) ๔ ซึ่งมีเนื้อหาโดยสรุปคือ
ไม่ว่าจะได้ฟังได้ยินคำสอนของใครก็ตาม อย่าพึ่งชื่นชม อย่าพึ่งคัดค้านคำกล่าวของผู้นั้นนั้น ให้ศึกษาแล้วสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัยเสียก่อน
– ถ้าไม่สอดคล้องกับ พระสูตร หรือ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่านี้มิใช่คำของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และ ภิกษุนี้/ภิกษุสงฆ์นี้/พระเถระเหล่านั้น/พระเถระนั้น จำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย
– ถ้าสอดคล้องกับ พระสูตร หรือ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และ ภิกษุนี้/ภิกษุสงฆ์นี้/พระเถระเหล่านั้น/พระเถระนั้น จำมาถูกต้องแล้ว
( http://84000.org/tipitaka/read/?10/113-116/144 )
ถ้าหากปราศจากพระไตรปิฎกอันเป็นแหล่งรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งในแง่ของพระวินัยและพระสูตรและพระอภิธรรมแล้ว จะเอาหลักฐานคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ชัดเจนจากไหนมาศึกษาเทียบเคียงคำกล่าวอ้างที่เราได้ยินหรือฟังจากพระหรือฆราวาส !!!!!
และการปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ก็ต้องอาศัยปริยัติเป็นแผนที่นำทาง ว่ายังอยู่ในร่องในรอยหรือไม่ ไม่ใช่ตะบี้ตะบันเอาแต่ปฏิบัติและผลจากปฏิบัติอย่างเดียวโดยไม่สนใจปริยัติ ก็คงไม่ต่างอะไรกับการหลับตาขับรถ ซึ่งไม่รู้ว่าจะไปตกเหวตกน้ำที่ไหน
ปริยัติ และ ปฏิบัติ ต้องควบคู่กันไป จึงจะได้ผลที่ถูกต้องคือปฏิเวธ นั่นเอง
——————————————————————————————————
3. แล้วที่ หลวงปู่มั่น เล่าเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับ เรื่องที่เห็นพระอรหันต์ที่ดับขันธปรินิพพานแล้วมาแสดงธรรมบ้าง มาแสดงท่านิพพานให้ดูบ้าง หรือ เห็นพระพุทธเจ้ามาอนุโมทนาบ้าง นั้นสามารถอธิบายตามหลักพระธรรมวินัยอย่างไร?
ครูบาอาจารย์ผู้เขียนท่านเคยบอกว่า หลวงปู่มั่น และ หลวงตามหาบัวผู้เรียบเรียงประวัติหลวงปู่มั่น นั้น ท่านก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่หลวงตามหาบัวนั้นท่านเคารพหลวงปู่มั่นมาก เวลาท่านได้ยินได้ฟังสิ่งที่หลวงปู่มั่นแสดงธรรม ทั้งจากหลวงปู่มั่นเอง และจากพระลูกศิษย์หลวงปู่มั่นองค์อื่นๆ ก็ตาม ท่านจึงนำสิ่งที่ได้เคยยินเหล่านี้มาเรียบเรียง เป็น ประวัติหลวงปู่มั่นโดยไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมในรายละเอียดลงในประวัตินั้น
อย่างไรก็ตามผู้เขียนเห็นว่าการที่ไม่อธิบายให้ละเอียดนั้น ทำให้ผู้อ่านหลายท่านเกิดความเห็นผิดตกไปในทาง สัสสตทิฏฐิ และทำให้มีกลุ่มบุคคลผู้ไม่ประสงค์ดีอาศัยความเข้าใจผิดนี้หาผลประโยชน์เข้าตัว อันเป็นการทำลายศาสนา จึงได้ออกมาเขียนอธิบายโดยสรุปจากคำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกและคำสอนของพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่างๆ เพื่อเป็นธรรมทานแก่หมู่ชนทั้งหลาย ให้เกิดสัมมาทิฏฐิ
ผู้ที่อธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่าง คือ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ท่านได้ตอบปัญหาของพระสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จสังฆราช (เจริญ สุวัฒโน) ดังนี้
พระสังฆราชถาม : “มาแล้วก็ดี สงสัยปัญหาเรื่องหลวงปู่มั่น ที่อาจารย์มหาบัวเขียนว่า หลวงปู่มั่นคุยกับพระพุทธเจ้า พระอรหันต์นี่ ในหลักตำราก็พูดถึงพระนิพพานว่าดับไปแล้ว เอาอะไรมาคุยกับท่านอาจารย์มั่น”
หลวงพ่อพุธก็เรียนตอบท่านว่า : “มันเป็นจิตรู้ของท่านอาจารย์มั่น ในเมื่อจิตสัมผัสถึงคุณธรรมขั้นสูงแล้ว ถ้าเป็นภูมิของพระอริยสงฆ์ ก็ปรากฏเป็นภาพพระอริยสงฆ์ขึ้น ถ้าจิตถึงพระพุทธเจ้า กับพระอรหันต์ แต่ที่แท้จริงพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ไม่ได้มาหรอก เป็นจิตรู้ของท่านอาจารย์มั่น”
พระสังฆราช : “อ้อ..มันเป็นอย่างนั้นหรือ”
และหลวงพ่อพุธท่านยังได้อธิบายต่อไปอีกว่า
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านไม่มายุ่งกับใครหรอก เพราะท่านนิพพานไปแล้ว ร่างกายตัวตนท่านก็ไม่มี ท่านจะเอากายที่ไหนมาปรากฏให้เรารู้เราเห็น ท่านจะเอาปากที่ไหนมาคุยให้เราฟัง แต่ที่เป็นไปได้เช่นนั้น เพราะเป็นจิตรู้ของผู้ทำสมาธิภาวนาไปถึงขั้นหนึ่ง ถึงจิตสัมผัสธรรม ซึ่งทำจิตให้เป็นพุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทีนี้จิตดวงนี้ก็แสดงมโนภาพขึ้นมาให้เราเห็นได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเราเรียกว่านิมิตนั่นแหละ
ที่ว่าเป็นนิมิต บางทีเห็นเป็นพระพุทธเจ้า พระสาวกเดินเข้ามาหาเรา หรือบางทีก็มายืนเทศน์สอนเราอยู่ แต่แท้ที่จริงไม่ใช่พระพุทธเจ้าหรือพระสาวกเหล่านั้นเดินมาเทศน์หรือมานั่งเทศน์ให้เราฟัง แต่ว่าจิตรู้ของเราเองที่มันถึงธรรมแล้วนี้ สารพัดที่เขาจะแสดงปรากฏการณ์ให้เรารู้เราเห็น เพื่อความมั่นใจในความรู้ของตัวเอง คล้าย ๆ กับว่าเขาจะสร้างมโนภาพ สร้างนิมิตขึ้นมาเสริมศรัทธาที่เชื่อมั่นอยู่แล้วให้มั่นคงยิ่งขึ้น
นิมิตที่ปรากฏแก่ท่านพระอาจารย์มั่นนั้นน่ะ มันเป็นไปได้ในภาษิตที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพระวักกลิว่า “โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ” ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นถือว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นถือว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นเราเห็นธรรม ผู้นั้นเชื่อว่าเห็นพระสงฆ์ ผู้ใดเห็นธรรมเห็นพระสงฆ์ ผู้นั้นเชื่อว่าเห็นเรา
เพราะฉะนั้น ในเมื่อท่านอาจารย์มั่นท่านมีจิตของท่านบรรลุถึงคุณธรรมที่ทำให้จิตเป็นพุทธะ เป็นจิตพุทธะแล้วนี่ ก็สารพัดที่จิตของท่านจะสร้างมโนภาพขึ้นมาให้ท่านรู้ท่านเห็น อันนี้เป็นภูมิรู้ภูมิธรรมของท่านเอง
(อ้างอิงจาก http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-poot/lp-poot-hist-01-10.htm )
สรุปก็คือการที่เห็นพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว ก็คือ นิมิตที่จิตปรุงขึ้นในสมาธิเท่านั้นเอง นั่นเอง คงอุปมาได้กับ ภาพถ่ายหรือวีดีโอ 3 มิติ – 4 มิติ ซึ่งแม้จะเหมือนจริงเพียงใดแต่ก็เป็นภาพไม่ใช่ของจริง และ นิมิต นั้นอย่าเข้าใจว่า เป็นสิ่งที่ผิดหรือสิ่งไม่ดี ทั้งนี้ แม้หลวงปู่มั่นท่านจะเห็นนิมิตแต่ท่านก็ไม่ได้ยึดติดกับนิมิต สิ่งที่ผิดคือการไปยึดติดในนิมิตว่าเป็นจริงเป็นจังต่างหาก!!!!
——————————————————————————————————
4. ถ้าเช่นนั้น พระอรหันต์ตายแล้วขาดสูญ ไม่เกิดอีกจริงหรือ????
คำตอบคือ ไม่ใช่!!!!
การเชื่อว่าตายแล้วขาดสูญไม่เกิดอีกก็จัดเป็นมิจฉาทิฎฐิ ประเภท หนึ่งที่เรียก อุจเฉททิฏฐิ
( http://www.84000.org/tipitaka/dic/v_line.php?A=4403&Z=4403 )
ซึ่งในสมัยพุทธกาลก็มีพระรูปหนึ่งชื่อ ยมก (อ่านว่า ยะมะกะ) ดังรายละเอียดใน ยมกสูตร
( http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=17&A=2447&Z=2585 )
ซึ่ง พระยมก มีความเห็นผิดว่า “พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก” พระรูปอื่นๆในวัดก็บอกพระยมกว่า
ท่านอย่าได้พูดอย่างนั้น อย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค เพราะ การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคไม่พึงตรัสอย่างนี้ว่า พระขีณาสพเมื่อ ตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก
แต่พระยมกก็ยังไม่เชื่อ พระรูปอื่นจึงไปตามพระสารีบุตรให้มาช่วยสอน พระยมก
โดยพระสาริบุตรถามว่า : รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ละอย่างเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
พระยมกตอบว่า : ไม่เที่ยง
พระสาริบุตรถามต่อว่า : ท่านเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ละอย่างว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลหรือ?
พระยมกตอบว่า : ไม่ใช่อย่างนั้น
พระสาริบุตรถามต่อว่า :ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคล มีในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือ?
พระยมกตอบว่า : ไม่ใช่อย่างนั้น
พระสาริบุตรถามต่อว่า :ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลเป็นอย่างอื่นที่นอกเหนือจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือ
พระยมกตอบว่า : ไม่ใช่อย่างนั้น
พระสาริบุตรถามต่อว่า : ท่านเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นสัตว์บุคคลหรือ?
พระยมกตอบว่า : ไม่ใช่อย่างนั้น
พระสาริบุตรถามต่อว่า : ท่านเห็นว่า สัตว์ บุคคลนี้นั้นไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ หรือ?
พระยมกตอบว่า : ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.
พระสาริบุตรจึงสอนว่า : ดูกรท่านยมกะ ก็โดยที่จริง โดยที่แท้ ท่านจะค้นหาสัตว์บุคคลในขันธ์ ๕ เหล่านี้
ในปัจจุบันไม่ได้เลย ควรแลหรือที่ท่านจะยืนยันว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก.
พอได้ฟังพระสาริบุตรสอน ถึงตอนนี้แล้ว พระยมกได้บรรลุอรหัตตผล
ทีนี้พระสาริบุตรถาม พระยมกว่า : ผู้ที่เป็นพระอรหันตขีณาสพ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเป็นอะไร ท่านถูกถามอย่างนั้น จะตอบว่ายังไง?
พระยมกตอบว่า : รูปแลไม่เที่ยง สิ่ง ใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นดับไปแล้ว ถึงแล้วซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้ เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นดับไป แล้ว ถึงแล้วซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้
สรุปคือ ไม่ว่าจะบรรลุหรือไม่บรรลุอรหันต์ก็ตามตัวตนไม่มีอยู่แล้ว การตายคือการที่ขันธ์แยกจากกัน ถ้ายังไม่หมดกิเลส ก็จะมีขันธ์เกิดขึ้นมาอีกเพราะยังมีเชื้ออวิชชาเหลือ แต่ถ้าบรรลุอรหันต์แล้วเมื่อตายไปขันธ์ต่างๆ ก็ดับไปเพราะความไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และไม่มีขันธ์เกิดขึ้นมาอีกเพราะไม่มีอวิชชาแล้ว ไม่ใช่เป็นตัวตนที่ตายดับหายไปดังที่พระยมกเข้าใจผิดก่อนบรรลุธรรม
พระสาริบุตรก็สอนต่อไปอีกว่า
อุปมาเหมือนมีเศรษฐีคนหนึ่งรวยมาก รับคนใช้ที่ประสงค์ร้ายเข้าไปทำงานในบ้าน แล้วคนใช้ก็แกล้งทำเป็นเชื่อฟังคำสั่งทุกอย่าง แต่พอถึงเวลาได้โอกาสคนใช้นี้ก็ฆ่าเศรษฐี โดยที่ไม่รู้ตัวว่า ได้รับฆาตกรเข้ามาทำงานในบ้าน และฆาตกรก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ฆ่า ตั้งแต่วินาทีที่เข้าบ้านมาและมีเจตนาร้าย แม้ว่าจะทำกิริยาที่ดีอย่างไรก็ตาม แต่หลงคิดว่า คนใช้เป็นคนดี
เหมือนปุถุชนที่ไม่เคยฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ย่อมเห็นขันธ์ 5 เป็นตัวตน ย่อมเห็นตัวตนในขันธ์ 5
ย่อมไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า ขันธ์ 5 ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน
ย่อมไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า ขันธ์ 5 เกิดจากการที่มีปัจจัยปรุงแต่งให้มีให้เป็น
ย่อมไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า ขันธ์ 5 ว่าเป็นผู้ฆ่า
จึงเข้าไปถือมั่น ยึดมั่น ขันธ์ 5 ว่า เป็นตัวตนของเรา
เมื่อเข้าไปถือมั่น ยึดมั่นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสิ่งที่มิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ย่อมเป็นไปเพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน.
ส่วนพระอริยสาวก ผู้เคยฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ย่อมไม่เห็นขันธ์ 5 เป็นตัวตน ย่อมไม่เห็นตัวตนในขันธ์ 5
ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า ขันธ์ 5 ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน
ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า ขันธ์ 5 เกิดจากการที่มีปัจจัยปรุงแต่งให้มีให้เป็น
ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า ขันธ์ 5 ว่าเป็นผู้ฆ่า
จึงไม่เข้าไปถือมั่น ยึดมั่น ขันธ์ 5 ว่า เป็นตัวตนของเรา
เมื่อไม่ถือมั่น ยึดมั่นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล ย่อมเป็นไปเพื่อสุขตลอดกาลนาน.